ศาสนาและวัฒนธรรม
จากหลักฐานประวัติศาสตร์ที่ค้นพบ ได้แก่คำจารึกบนกระดูกสัตว์ (ประมาณ 1,600-1,100 ปีก่อนคริสตกาล) และคำจารึกบนโลหะสำริด (ประมาณ 1100-476 ปีก่อนคริสตกาล) ทำให้สันนิษฐานได้ว่าชาวจีนตั้งแต่ช่วงต้นประวัติศาสตร์มีการบูชาธรรมชาติ ต่อมาจึงเริ่มมีการบูชาจักรพรรดิหยก (Jade Emperor) และเทพเจ้าต่าง ๆ ในยุคที่ประเทศจีนยังไม่รวมเป็นปึกแผ่นแยกเป็นรัฐเล็กรัฐน้อย และมีการรบพุ่งกันอยู่เสมอ นักปราชญ์ 2 ท่านได้ออกมาเสนอแนวคิดและแนวปฏิบัติให้ชาวบ้านได้ยึดเป็นหลักการดำรงชีวิตกลายเป็นความเชื่อที่ฝังรากลึกในสังคมจีน คือ ลัทธิเต๋า และลัทธิขงจื้อ ภายหลังเมื่อมีการสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าและการทูตกับชาติต่าง ๆ ชาวจีนได้รับการเผยแพร่ศาสนาพุทธจากอินเดีย อิสลามจากเอเชียกลาง และคริสต์จากชาติตะวันตก
ลัทธิเต๋า ก่อตั้งโดยท่านหลี่ตาน หรือเล่าจื๊อ ที่ชาวไทยเรียก คำสอนเน้นเรื่องความสงบตามวิธีธรรมชาติ ให้ผู้คนกลับสู่ธรรมชาติ มีความอ่อนน้อมไม่ยึดติดกับกรอบของสังคม สรรพสิ่งในโลกมีสองด้านเสมอ มีมืดก็ต้องมีสว่าง มีขาวก็ต้องมีดำ มีดีก็ย่อมมีเลว หลักการเช่นนี้เป็นเริ่มลึกซึ้งที่ต้องอาศัยปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง ผู้คนส่วนใหญ่จึงละเลยหันไปหลงกับเรื่องราวปาฏิหาริย์ของเหล่าเซียนและยาอายุวัฒนะแทน ท่านหลี่ตานเผยแพร่ปรัชญาอยู่ทางตอนใต้ของจีนช่วง 551-479 ปีก่อนคริสตกาล
ลัทธิขงจื๊อ หรือขงจื๊อตามการเรียกขานของคนไทย มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ลัทธิหยู ก่อตั้งโดยท่านขงจื๊อ ชาวหมู่บ้านชวีฝู่ มีชีวิตอยู่ระหว่าง 551-479 ปีก่อนคริสตกาบ ลัทธินี้ให้ความสำคัญกับระเบียบสังคมและหน้าที่ที่บุคคลพึงมีต่อกัน ให้ความสำคัญกับครอบครัว การกตัญญูรู้คุณ มีคุณธรรมและแนวปฏิบัติเรื่องการเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่ชาวจีนถือปฏิบัติมาจนถึงปัจจุบัน(คริสต์ศตวรรษที่ 12 จูซี (Zhu Xi) ได้ผนวกแนวคิดเชิงอภิปรัชญาของพุทธศาสนาและลัทธิเต๋าเข้ากับแนวคิดขงจื๊อ เกิดเป็นหลักจริยธรรมจีน สามารถนำมาใช้ปฏิบัติทางการเมืองและชีวิตประจำวัน ชื่อว่า “ลัทธิขงจื๊อใหม่” ซึ่งเป็นที่แพร่หลายมาก)
ศาสนาพุทธ เข้าสู่ประเทศจีนโดยพ่อค้าและพระที่เดินทางตามเส้นทางสายไหม ส่วนใหญ่เป็นพุทธศาสนานิกายมหายาน ซึ่งมีความเชื่อว่าสัตว์โลกทั้งหลายจะหลุดพ้นโดยมีพระโพธิสัตว์มาโปรด เรื่องของกฎแห่งกรรมและชีวิตหลังความตาย แนวทางศาสนาพุทธคล้ายคลึงกับเต๋าที่พยายามชี้ให้เห็นความว่างเปล่า การปลดปล่อยตัวเองจากธรรมชาติ เป็นอิสระจากกิเลสทั้งปวงที่ยึดติดอยู่
ศาสนาคริสต์ เผยแพร่เข้าสู่จีนครั้งแรกใน ค.ศ. 635 โดยมิชชันนารีนิกายเนสโตเรียน ซึ่งเป็นนิกายที่แยกตัวออกมาจากอาณาจักรโรมันตะวันออก เพราะเชื่อว่าพระเยซูไม่ใช่พระเจ้า แต่งทางมีส่วนที่เป็นทั้งมนุษย์และพระเจ้าเนื่องจากประสูติจากครรภ์มนุษย์และทรงได้ส่วนที่เป็นพระเจ้ามาจากพระยะโฮวา ชาวจีนเรียกศาสนานี้ว่า จิ่งเจี๊ยว
ศาสนาอิสลาม หลังจากท่านนบีมูฮัมหมัด (ค.ศ. 570-632) ประกาศศาสนาอิสลาม มีผู้ศรัทธานับถือทั่วคาบสมุทรอาระเบียแล้ว ท่านต้องการสร้างสังคมมุสลิมให้เป็นหนึ่งเดียว กองทัพศาสนาอิสลามจึงเริ่มแผ่นเข้ามาทางเอเชียกลางและตะวันออกอย่างต่อเนื่อง พวกอุยกูร์ในดินแดนมองโกเลียสู้ไม่ได้ต้องอพยพหนีไปจีน ไปแว่นแคว้นต่าง ๆ ในแอ่งทาริม ซึ่งกลายมาเป็นที่อยู่ของชนเผ่าอุยกูร์มาจนปัจจุบันในนามของเขตปกครองตนเองซินเกียงอุยกูร์ แต่หลังจากพวกมุสลิมผนวกศาสนามากินีของพวกอุยกูร์เป็นนิกายหนึ่งในศาสนาอิสลาม พวกอุยกูร์ที่เป็นมากินีก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปนับถืออิสลามด้วยหลังค.ศ. 934 เป็นต้นมา ศาสนาอิสลามก็แพร่หลายเข้าสู่เมืองต่าง ๆ บนเส้นทางสายไหมอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ 300 ปีต่อมา พวกมองโกลจะเรืองอำนาจ ศาสนาอิสลามก็ยังอยู่ดี แต่เผ่ามองโกลที่รบชนะมีวัฒนธรรมด้อยกว่ากลับยอมรับศาสนาอิสลาม ชนชั้นผู้นำหลายคนเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามกันอย่างสมัครใจ
นำข้อมูลมาจากหนังสือคู่มือนักเดินทางจีน
|